[Arzel] · [Event] · [Fic] · [LCVN] · [Side Story]

[LCVN] Event 01 : Insanity

เอนทรี่นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู

Lucillvania Academy

LCVN

**********************************************

[LCVN] Event 01 (Quench your thirst) : Insanity

By : Arzel Haldin (ปี2)

Note : Fiction 3,172 คำ

ขอขอบคุณ : มาสเตอร์ใจดี @LCVN_Russell , เพื่อนซี้ก๊วนดื่มชา @LCVN_Omar , และเหยื่อความบ้าคลั่งในครั้งนี้ @LCVN_Quixote ด้วยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่มาสร้างสีสรรให้อาเซลในฟิคนี้ด้วยค่า

From Sena : ปั่นเว้นท์แบบฟ้าแลบ ด้วยความที่ตอนนี้งานหลวงถาโถม คิดพล็อตได้ลางๆ แต่ไม่มีเวลาเก็บรายละเอียดใดๆ แงงงงง แล้วก็อยากลองเขียนฟิคตัวเองแบบซึนๆดู คำพูดคำจาในฟิคอาจทำร้ายจิตใจใครไปบ้าง ยังไงก็ขอโทษทุกคนในสตอรี่ด้วยนะคะ ไว้คราวหน้าจะพยายามใหม่น้า สำหรับใครที่แวะมาอ่าน ก็ขอบคุณมากๆด้วยค่า หวังว่าจะมีโอกาสมาเล่นกันน้า

อีกเรื่องที่แอบมาแปะไว้ตรงนี้ อาเซลเป็นคาร์ที่เซ็ตติ้งมาให้เป็นคนเลวๆค่ะ แบบทำอะไรไม่คิดถึงใครเท่าไหร่ถ้าโรลอะไรไปล่วงเกินยังไงขอกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ orz

**********************************************

Insanity

**********************************************

“…อาเซล…”

เสียงเรียกอย่างแผ่วเบาดังมาจากเบื้องหลัง เพราะเป็นเสียงอันคุ้นเคย ผมจึงไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองก็รู้ได้ว่าใคร กำลังอ้าปากจะตอบรับ ร่างอุ่นก็โผเข้ากอดรวบเอวผมจากด้านหลังก่อนแล้ว เล่นเอาหม้อข้าวต้มใบใหญ่ในมือแทบกระฉอกหก

“เฮ้! เดี๋ยวสิ! ทำอะไรน่ะ! ข้าวต้มเกือบหกแล้วนะ!”

ผมเอ็ดใส่ ด้วยน้ำเสียงที่จงใจให้ฟังดูเข้มงวดเข้าไว้ แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับกลายเป็นเสียงเด็กผู้ชายเล็กๆในวัย 8-9 ขวบเท่านั้น… แล้วผมก็เพิ่งได้สังเกต ว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ ตัวที่ผมมักใช้ประจำเวลาที่ต้องการหยิบจับอะไรบนเตาไฟแทนการเขย่ง

…ผมเห็นภาพตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง…

…ไม่สิ…ผมไม่มีทางกลับเป็นเด็กได้หรอก ไม่มีทางกลับไปมีชีวิตแบบนั้นได้อีกแล้ว… ที่ภาพเหตุการณ์ตรงหน้ามันดูสมจริงและคุ้นเคยขึ้นมา คงเพราะมันเป็นภาพฝันที่มาจากความทรงจำของผมเมื่อครั้งยังเป็นเด็กและอาศัยอยู่กับพ่อแม่และราเซลน้องชายฝาแฝดที่บ้านกระท่อมก็แค่นั้น… เป็นภาพสมัยที่ครอบครัวฮัลดินยังประกอบด้วยมนุษย์อิสระ 4 ชีวิตที่มีความสุขตามอัตภาพในเขตกักกันเฮเว่นส์เหนือ…

คนโดนดุยังยืนกอดผมเงียบๆอยู่เช่นนั้น จนผมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนลง

“ราเซล… มีอะไร? ทำไมไม่นอนรอพี่ที่ห้องหื้ม?”

ผมถาม ขณะที่สายตามองหาที่วางหม้อข้าวต้มร้อนๆซึ่งอยู่ในมือ

“….”

น้องชายฝาแฝดของผมไม่ตอบ แต่กดหน้าผากอุ่นๆลงบนแผ่นหลังของผม ไอร้อนจากพิษไข้แทรกทะลุผ่านเนื้อผ้าลงมาจนผมรู้สึกได้แม้จะเป็นในความฝัน

“กินข้าวต้มแล้ว… อาเซลมานอนเป็นเพื่อนฉันด้วยนะ”

แม้น้ำเสียงแหบๆนั้นฟังดูเหมือนกำลังอ้อนขอ แต่คำพูดในประโยคแทบไม่ต่างกับประโยคบอกเล่า กึ่งๆจะเป็นประโยคคำสั่งกลายๆเสียด้วยซ้ำ บ่งบอกเลยว่าเจ้าเด็กวายร้ายนี่รู้จักผมดีเกินไปแล้ว แน่ล่ะ…ราเซลรู้ดีว่าผมจะตามใจเขามากกว่าเดิมหลายเท่าในเวลาที่เขาไม่สบายอย่างตอนนี้

…เสียนิสัยจริงๆ… ผมนึกบ่นอยู่ในใจบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่รู้จะโทษใครหน้าไหนได้ ในเมื่อคนที่ตามใจเขาที่สุด จนกลายเป็นแบบนี้ก็คือผมนี่แหละ

สิ่งที่เจ้าน้องชายนิสัยเสียของผมมักร้องขอเกือบทุกครั้งที่ไม่สบายก็คือ ให้ผมนอนกอดเขา และอยู่เป็นเพื่อนเขาจนกว่าเขาจะหลับ และในเมื่อมันไม่ใช่คำขอที่หนักหนาอะไร ผมก็เลยคร้านจะหาเหตุผลมาโต้เถียงและปฏิเสธ ลงท้ายก็มักจะทำๆไปเพื่อตัดความรำคาญอยู่เสมอ

ส่วนเหตุผลในการขอของหมอนี่น่ะเหรอ ใช่ว่าผมจะไม่เคยถาม แต่คำตอบที่ได้ไม่เห็นมีอะไร นอกจากเห็นพี่ชายแบบผมเป็นผ้าเย็นลดไข้ส่วนตัวก็เท่านั้น…

“อาเซลตัวเย็น…แต่กอดแล้วอุ่น…”

เสียงงึมงำเบาๆในอ้อมกอดผม ก้ำกึ่งระหว่างละเมอ ไม่ก็เพ้อเพราะพิษไข้ ผมอ่อนนุ่มสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำของเขามักทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี๋ตรงจมูกเวลาเขาซุกตัวเข้าหา แต่มันไม่ได้น่ารำคาญไปซะทุกครั้งหรอก บางทีมันก็ช่วยให้ผมเคลิ้มหลับได้อย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจเหมือนกัน เอาเป็นว่าการนอนกอดกันกลมบนเตียงเล็กๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายหรืออึดอัดอะไรนักหรอก ยิ่งในวันที่มีหิมะตก หรือวันที่อากาศค่อนข้างเย็นด้วยล่ะก็

เวลาที่มีใครในบ้านไม่สบายเป็นไข้หวัด แม่มักจะทำข้าวต้มทิ้งไว้ให้หม้อใหญ่ และทุกครั้งที่ราเซลเป็นไข้ ผมจะมีหน้าที่อยู่โยงเป็นเพื่อนเขาที่กระท่อม และคอยอุ่นข้าวต้มให้เขากิน และคอยดูให้เขากินครบทั้ง 3 มื้อ ระหว่างที่พ่อกับแม่ออกไปล่าสัตว์ หรือในวันที่พวกท่านต้องขนหนังสัตว์และเนื้อแห้งไปขายที่ตลาด บ่อยครั้งเลยล่ะที่ไม่กี่วันต่อมาผมก็ลงเอยด้วยการเป็นไข้หวัดตามราเซลไปอีกคน

ผมยอมรับว่าลืมเลือนเรื่องราวพวกนี้ไปนานมากแล้ว มันก็แค่เรื่องธรรมดาๆ ไม่มีความสลักสำคัญใดๆ แค่การใช้ชีวิตในแต่ละวันไปด้วยความเคยชิน… ผมไม่เคยรู้หรอกว่าสิ่งเหล่านั้น มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า…‘ความสุข’… จนกระทั่งวันที่ผมมีโอกาสได้มองย้อนกลับไป วันที่ผมสูญเสียมันไปอย่างไม่อาจเรียกคืนได้อีก…

มนุษย์เรานี่ก็แปลก… ความสุขมากมายที่เคยมีไม่รู้จักจดจำ เลือกจะจดจำแต่เรื่องราวที่เจ็บปวด…

เมื่อเทียบกันแล้วเรื่องราวสมัยอยู่เฮเว่นส์เหนือสำหรับผม นับวันก็ยิ่งจางลงไม่ต่างกับตัวอักษรสีซีดในหน้าหนังสือเก่าๆสักเล่มของห้องสมุด แม้จะรู้สึกคิดถึงแต่ก็ไม่กระจ่างชัดนักในความทรงจำ แต่กับกลิ่นคาวเลือดอันคละคลุ้งบนหิมะในวันนั้น เสียงกรีดร้องและใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดของพ่อกับแม่ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายของพวกท่านจะปลิดปลิวปะปนไปกับละอองหิมะ…ผมกลับจำมันได้ติดตาและชัดเจนทุกรายละเอียด

…มันเริ่มขึ้นอีกแล้ว…

ผมไม่ได้นอนอยู่บนเตียงกับราเซลแล้ว… ใต้เท้าของผมตอนนี้เป็นปุยหิมะตกใหม่สีขาวที่ยังหนานุ่ม ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจของผมทันที ภาพฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนผมอยู่หลายปีก่อนจะถูกนำตัวมาเป็นทาสบรรณาการให้กับนายน้อยคนใหม่ในตระกูลนาบีเรียส…

สีแดงเข้มจนเกือบเป็นสีดำซึมขึ้นมาจากปุยหิมะใต้ฝ่าเท้าทีละนิด ก่อนจะแผ่กระจายจนรอบ เงยหน้าขึ้นอีกที โลกทั้งใบก็ถูกย้อมด้วยสีโลหิตแดงฉาน… กลิ่นสนิมฉุนกึกลอยคละคลุ้งเตะจมูกจนไม่อยากหายใจ มือเล็กเฉอะแฉะด้วยของเหลวหนืดข้นของราเซลกำลังสั่นระริก ขณะพยายามยึดกุมข้อมือของผมไว้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะถูกบางอย่างที่มองไม่เห็นตัวกระชากรั้งจนหลุดห่างออกไป และนั่นคือสัมผัสสุดท้ายที่จำได้ระหว่างผมกับราเซล…

ความรู้สึกเหมือนร่วงวูบลงไปในหุบเหวทำเอาผมสะดุ้งตื่น ผมนอนลืมตาโพลงหอบหายใจอยู่ในสถานที่ซึ่งแวบแรกสมองอันสับสนยังคงนึกไม่ออกว่าเป็นที่ไหน ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆ ความเคียดแค้นก่อตัวขึ้นในกายจนแทบล้นทะลัก แน่นหน้าอกจนเหมือนหายใจยังไงมวลอากาศก็ไม่ยอมเข้าสู่ปอด ทรมานจนเหงื่อซึมชื้นผุดขึ้นเต็มหน้าผากอยู่พักใหญ่ พอยกหลังมือขึ้นปาดก็ต้องสะดุ้ง

!!..เจ็บ?

ผมมองมือข้างขวาที่ปราศจากถุงมือสีขาวเช่นทุกที ตอนนี้มันถูกห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผลเปรอะเลือดแทน กลิ่นคาวเลือดจากบาดแผลที่ไม่คุ้นชินนี่กระมังที่เรียกภาพฝันร้ายซึ่งไม่ได้เห็นนานมาแล้วกลับมาอีกครั้ง…

ร่างของอีกคนบนเตียงขยับตัวเล็กน้อย ผมจึงหันไปมอง เห็นแล้วก็ค่อยผ่อนคลายลง เมื่อในหัวเริ่มปะคิดปะต่อความทรงจำเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนได้

เด็กชายแวมไพร์จากตระกูลนาบีเรียส ยังไม่ตื่นจากการหลับใหล ผมมองเห็นสัญญาณของความอิดโรยบนใบหน้ามาสเตอร์รัสเซลได้ลางๆแม้จะดูดีขึ้นบ้างเทียบกับหลายวันก่อนหน้า เพราะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของเหล่าแวมไพร์ ซึ่งไม่สามารถดื่มเลือดมนุษย์ได้เท่าที่ร่างกายต้องการ กอปรกับปกติแล้วเด็กนี่ก็ไม่ค่อยจะยอมดื่มเลือดโดยตรงจากทาสอย่างผมซะด้วย พอเลือดสำรองในห้องพยาบาลหมด ในมื้ออาหารแต่ละวันก็ไม่มีให้ เท่ากับเด็กกินจุอย่างเขาต้องเจอปัญหาการขาดเลือดเอาการอยู่ แต่แม้ในสภาพนี้ เจ้าเด็กนี่ก็ยังดื้อรั้น… จนผมต้องถึงขั้นใช้กำลังบังคับให้กิน

ผมลอบถอนหายใจเบาๆ ขณะนอนมองดูใบหน้ายามหลับของเขาอีกครั้ง ปลายนิ้วที่ปราศจากถุงมือ ไล่เกลี่ยผมนิ่มของอีกคนเล่น เส้นผมสีดำของรัสเซลเข้มกว่าสีผมของราเซลนิดหน่อย แต่แค่นี้ก็บ่อยเหลือเกินแล้วที่มันทำให้ผมเผลอเรียกมาสเตอร์ของผมด้วยชื่อของน้องชาย

…คล้ายกันเกินไปจริงๆ…ทั้งชื่อ ทั้งนิสัย…

ผมไม่ได้เกลียดแวมไพร์… สำหรับผมเหตุผลในการดื่มเลือดมนุษย์ ก็ไม่ต่างจากเหตุผลในการล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ มันเป็นเหตุผลเพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต เทียบกับมนุษย์ที่ไล่ล่ามนุษย์ด้วยกัน เพื่อกอบโกยหาผลประโยชน์แล้ว ผมรังเกียจจนถึงขั้นขยะแขยงอย่างหลังมากกว่าอยู่แล้ว…ไม่สิ…ความรู้สึกนี้ต้องเรียกว่าเคียดแค้นชิงชังต่างหาก… มนุษย์พวกที่ฆ่าพ่อแม่และทำลายครอบครัวของผม… พวกลักลอบค้าเลือดเถื่อน…

แม้ว่าความทรงจำที่มีเกี่ยวกับน้องชายจะถูกวันเวลาชะล้างไปมากแล้ว แต่เป้าหมายในการตามหาครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่บนโลกของผมก็ไม่เคยเลือนหาย เพราะเป็นฝาแฝดรึเปล่านะ ผมถึงเชื่อมั่นว่า ผมจะเป็นคนแรกที่รู้สึกได้ หากเขาจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

ต่อให้เป็นเป้าหมายที่ไม่เคยลบเลือน พอตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าผมได้ทำอะไรลงไปบ้างเพื่อตามหาราเซล ผมก็รู้สึกละอายใจเหลือเกินที่ต้องยอมรับว่า ผมได้แต่ปล่อยชีวิตวันต่อวัน เสมือนปลิวไปตามแรงลมแห่งโชคชะตา จนกระทั่งเมื่อถูกเพื่อนร่วมห้อง โอมาร์ บอยซ์ ตอกย้ำเข้าให้ ในวันอาทิตย์วันหนึ่ง…

โอมาร์เป็นมนุษย์คนหนึ่งในโรงเรียนแห่งนี้ที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงคำว่า ‘เพื่อน’ ที่สุดสำหรับผม วันหนึ่งเขาก็มาหาผมด้วยใบหน้าซึ่งดูกังวลใจสุดๆ อ้อ ปกติเขาก็กังวลในเกือบทุกเรื่องอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่เขาไม่เคยมาหาผมถึงห้องพัก นั่นทำให้ผมเดาว่าเขากำลังเจอปัญหากลัดกลุ้มหนักเข้าจริงๆ

โอมาร์ต้องการคำปรึกษา เขามีความฝันถึงการได้เป็นมนุษย์สามัญตัวเล็กๆที่จบออกไปได้ทำงานในแบบของเขา แต่เขากลับถูกยื่นข้อเสนอให้ไปเป็นทาสโดยแวมไพร์ตนหนึ่ง ซึ่งขู่เขาว่าจะทำร้ายครอบครัวและชีวิตของทุกคนที่เขารักถ้าเขาไม่ยอมรับข้อเสนอ…

…ผมไม่ค่อยอินหรอกนะ กับความทุกข์ของคนซึ่งมีใครให้ห่วง… คนที่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกน่ะ…

ถึงแบบนั้นผมก็ให้กำลังใจเขาในฐานะทาสรุ่นพี่ไป ผมสะดุดใจนิดหน่อยกับการที่เจ้าแวมไพร์ตนนั้นยอมยื่นขอเสนอให้อีกฝ่ายเก็บไปคิด ซึ่งในสถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้ การออกล่ามนุษย์และตีตราทาสโดยอีกฝ่ายไม่ยินยอม ก็แทบไม่สามารถถือโทษเอาผิดอะไรได้แท้ๆ ดูๆแล้วก็น่าจะพอมีความหวังให้ต่อรองพูดคุยได้อยู่บ้าง

สำหรับโอมาร์ เขารู้สึกว่าความฝันของเขาดูเล็ก และไม่เหลือพลังให้ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้มันมา ผมก็เลยอวดตัวซะยกใหญ่ ยัดเยียดกำลังใจให้เขาจนล้นปรี่แบบไม่ไถ่ถาม

“ไม่มีใครเข้มแข็งพอจะต่อสู้เพื่อความฝันของคนอื่น เพราะงั้น… ไม่มีใครปกป้องความฝันของนายได้ดีเท่าตัวนายเอง…”

ผมร่ายปาฐกถายาวเหยียดใส่เขา ตบท้ายด้วยการกระซิบปลุกเร้าที่ข้างหูอีกฝ่าย

“… Don’t quit….”

“ขะ เข้าใจ(จริงๆ)แล้วครับ!!”

“เบาไป… ดังอีก!”

“เข้าใจแล้วครับ! ผมจะไม่ยอมแพ้ครับ!!”

ผมหลุดยิ้มออกมาขณะมองดูโอมาร์ซึ่งดูเข้มแข็งและมั่นใจมากขึ้น

“…เวลาพูดให้ตัวเองได้ยินน่ะ มันต้องพูดให้สุดเสียง ให้ดังกว่าเวลาพูดให้คนอื่นได้ยินรู้ไหม…”

ประโยคสวยหรูที่ผมบรรจงฝังเข้าไปในความคิด คำพูดปลุกเร้าความฮึกเหิมให้กับเขาที่กำลังว้าวุ่นและห่อเหี่ยว กลับกลายเป็นมีดเล่มบางซึ่งกรีดแทงกลับมาที่ผมทันที เมื่ออีกคนถามกลับมา

“…แล้วอาเซล มีความฝันอะไรเหรอครับ?”

คำถามของโอมาร์ ทำเอาผมแทบจุก ผมเอาแต่พูดพล่ามว่าผมต้องการตามหาราเซล แต่เอาเข้าจริง ผมกลับไม่เคยลงมือทำอะไรเลย ผมมีความสุขดีในตระกูลนาบีเรียส ผมมีมาสเตอร์รัสเซลให้คอยดูแลเอาใจใส่ ช่องว่างในใจของผมถูกเติมเต็มทดแทนด้วยสิ่งเหล่านี้มาตลอดหลายปี ผมหลอกตัวเองว่าผมมีเป้าหมายยิ่งใหญ่ มีความฝันที่ใครก็พรากไปจากผมไม่ได้…ความฝันที่ลึกๆในใจผมกลับยอมแพ้ไปแล้วด้วยซ้ำ ยอมเชื่อไปแล้ว…ว่าผมจะไม่มีวันได้เจอราเซลอีก และเขาอาจจะตายไปแล้ว

ผมหาเรื่องไล่โอมาร์ให้กลับออกไปจากห้องผมโดยเร็ว ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจสู้หน้าอีกฝ่ายได้ในตอนนั้น คำพูดของตัวเองกำลังย้อนใส่ผมเต็มเหนี่ยวจนเหมือนหมัดลุ่นๆที่น็อคผมเข้าที่ปลายคางจนแทบล้มทั้งยืน…

…ผมมีหน้าอะไรไปสอนเรื่องความฝันให้โอมาร์กัน…

คำพูดของตนเองดังซ้ำขึ้นในหัวอีกครั้ง

‘…เวลาพูดให้ตัวเองได้ยินน่ะ มันต้องพูดให้สุดเสียง ให้ดังกว่าเวลาพูดให้คนอื่นได้ยิน…’

“…รู้ใช่ไหม…อาเซล…”

ผมพึมพำกับตัวเองในห้องอันเงียบสงบหลังจากโอมาร์ออกไปแล้ว เสียงของผมแผ่วเบาด้วยความละอาย แผ่วเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน มันเบากว่าตอนที่ผมพูดให้โอมาร์ฟังมากมายนัก

หลังจากวันที่คุยกับโอมาร์ผมก็ขบคิดมาตลอดจนได้ความคิด จะถือว่าเป็นโชคดีก็ได้ ที่ผมรู้ตัวในช่วงเวลาที่ ‘ฟ้าเปิด’ ช่วงเวลาที่เหล่าแวมไพร์กำลังกระหายเลือดจนหน้ามืด โดยเฉพาะแวมไพร์ชนชั้นกลางที่ไม่มีทาสเป็นของตนเองในโรงเรียน ข่าวเล่าลือถึงการทำร้ายกันมีให้ได้ยินไม่เว้นแต่ละวัน จนห้องพยาบาลมีประชากรผู้ป่วยแออัด

ในกลุ่มมนุษย์เองมองไปทางไหนก็มีแต่คนก็กำลังสับสนและหวาดกลัว บางพวกต้องการการคุ้มครองชั่วคราว บางพวกก็พร้อมยอมใช้เลือดนิดๆหน่อยๆของตน เพื่อแลกผลประโยชน์ต่างๆอยู่แล้ว แผนการแรกของผมในการสร้างเครือข่ายกับพวกแวมไพร์ชั้นกลางเหล่านี้ ก็ไม่มีอะไรยากไปกว่าการหยิบยื่นข้อเสนอที่สมราคา เป็นนายหน้าคนกลางจับคู่ความต้องการให้พวกนักเรียนเหล่านี้ และไม่แน่ว่าสัมพันธภาพที่ถักทอขึ้นในช่วงนี้อาจทำให้ผมสาวไปถึงใครสักคนในกลุ่มผู้ค้าเลือดผิดกฎหมายนอกโรงเรียนบางคนก็ได้ ขอแค่เบาะแสเล็กๆน้อยๆเท่านั้นให้ผมได้คว้ายึดเป็นจุดเริ่ม

ด้วยความคิดนั้นผมก็เริ่มต้นแผนการ ไม่ถึงกลางอาทิตย์ผมก็มีนัดส่งมอบ ‘ของ’ ให้กับแวมไพร์ไม่น้อยกว่าสิบราย และเริ่มมีใครต่อใครติดต่อมาหาผมเพิ่มขึ้นอย่างเงียบๆ…แผนการดูท่าจะไปได้สวยทีเดียว…

…ไม่สิ…‘เกือบ’ ไปได้สวยต่างหาก…

…ถ้ายัยผู้หญิงคนนั้นไม่เข้ามาจุ้นจ้านล่ะก็…

ผมก้มลงมองมือตนเอง… พักหลังๆมานี้ผมไม่ค่อยได้ใส่ถุงมือตลอดเวลาอย่างแต่ก่อน บาดแผลที่ถูกกัดเลือนหายไปมากจนเหลือแค่รอยจางๆ แต่สัมผัสของเส้นผมสลวยและผิวกายอันอ่อนนุ่มที่ผมได้สัมผัสในวันนั้นกลับไม่ยอมจางหายไป ใบหน้าที่เคยมองผ่านๆตา ตอนนี้กลายไปใบหน้าที่ผมกวาดสายตามองหาในเวลาที่อยู่ตามทางเดินในตัวอาคาร ในห้องสมุด หรือในโรงอาหารไปโดยปริยาย

ทุกครั้งที่มองดูใบหน้าที่มีรอยยิ้มเป็นปกติของหล่อนไกลๆ ภาพใบหน้าที่อาบเปรอะด้วยคราบน้ำตาก็ลอยมาแทนที่ในหัว แล้วผมก็ดันตอบไม่ได้เสียอีกว่าแบบไหนดูดีกว่ากัน ยอมรับเลยว่าเรื่องบ้านี่ทำให้ผมสับสน

ผมเริ่มทำตัวไร้สาระ เที่ยวร่อนไปเสนอหน้า ทำตัวต่ำๆเลวๆให้ถูกเกลียด ถึงจะเจ็บจนบางครั้งก็จุกกับสายตาที่อีกคนมองมา แต่รู้ตัวอีกทีก็กำลังพูดจาแย่ๆ ทำเรื่องแย่ๆลงไปซ้ำๆ เหมือนคนไม่มีสมองในการจดจำเสียอย่างนั้น

ความรู้สึกที่ผมเองก็ไม่เข้าใจ รู้แต่มันวูบวาบหวามไหวขึ้นลงในอก นาทีนึงก็ลิงโลดในอกพองโต นาทีถัดมาก็ดิ่งจนเหมือนถูกใครสักคนถีบลงเหว

แต่ก็นั่นล่ะ ผมไม่ใช่คนโง่ที่จะปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาพแบบนี้นานๆหรอกนะ มันบั่นทอนพลังงานในการใช้ชีวิตของผมเกินไป ผมต้องการชีวิตที่ไม่แยแสอะไรนอกจากตัวเองของผมคืน และยัยนั่นจะต้องชดใช้… ที่เข้ามาวุ่นวายกับแผนการของผม

“…เธอเป็นไข้หวัด วันนี้ไม่มาเรียนน่ะ…”

รุ่นพี่คนนึงตอบ เมื่อผมเอ่ยถามถึง

แล้วรู้ตัวอีกที… 30 นาทีต่อมา ผมก็ยืนแหงนหน้ามองหน้าต่างหอพักนักเรียนหญิง โดยมีเลขห้องของเธอที่จดมาอยู่ในกระเป๋า ถ้าใครสักคนมาเห็นเข้า ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลยว่าผมจะซวยได้แค่ไหน…

ขณะที่ดันหน้าต่างห้องเก็บของชั้นล่างให้เปิดกว้างพอให้คนตัวโตอย่างผมสามารถลอดผ่านไปได้ ในใจก็ร่ำร้องค้าน แต่มันเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว

ผมมัน…บ้าไปแล้ว…

 

==TBC.==

*************************************************************

ใส่ความเห็น